วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

+++Download “ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร” 2 เล่ม

สวัสดีครับผมไปพบเว็บนี้โดยบังเอิญ

http://www.nayoktech.ac.th/~patima/

เป็นตำราภาษาไทยที่สอนเรื่อง “ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร” เล่ม 1 – 2 โดยอาจารย์ Patima Mehesaun วิทยาลัยเทคนิคนครนายกผมดูแล้วเป็นเนื้อหาง่าย ๆ สำหรับผู้ศึกษาระดับพื้นฐาน แถมยังมีรูปประกอบน่ารัก ๆ อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ เมื่อศึกษาจบแล้ว ท่านจะสามารถทำได้เหมือนชื่อหนังสือ คือ สามารถพูดภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารได้อย่างที่ต้องการในสถานการณ์พื้นฐานต่าง ๆ ที่พบบ่อยถ้าท่านต้องการดาวน์หนังสือ “ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร” ทั้ง 2 เล่มเพื่อเอาไว้ศึกษาเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องต่อเน็ต เชิญดาวน์โหลดได้ที่นี่ครับ

ดาวน์โหลด “ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร” เล่ม 1
ดาวน์โหลด “ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร” เล่ม 2

เล่ม 2 นี้มีแบบฝึกหัดให้ทำฝึกความชำนาญ และมีเฉลยให้ตรวจ ทำให้สุดความสามารถก่อนแล้วจึงค่อยไปดูเฉลยนะครับ ถ้าพลิกไปดูเฉลยก่อนจะไม่ได้รับประโยชน์ขอขอบคุณ อาจารย์ Patima Mehesaun เป็นอย่างสูงครับหมายเหตุ1. ดิก 3 เล่มที่คอลัมน์ซ้ายมือใน blog นี้ เชิญใช้ได้ตามสะดวกครับ2. ท่านสามารถ copy ประโยคในหนังสือไป paste ลงในช่อง "พิมพ์ประโยค - คลิก say it"

Credit: Pipat(English For Thais)

+++ฟุด ฟิด ฟอ ไฟ สไตล์อเมริกัน

ผมไปพบเว็บ ฟุด ฟิด ฟอ ไฟ สไตล์อเมริกัน

http://www.thaitownusa.com/frontnews/frmNews_history.aspx?ColNo=257

[ อย่าลืมคลิกอ่าน Page [2] ที่ด้านล่างของหน้านะครับ]ซึ่งน่าสนใจทีเดียวครับ เพราะอธิบายการใช้ศัพท์สำนวนแบบอเมริกันได้น่าอ่านมากจึงขอชวนให้ท่านเข้าไปอ่านดูครับ

Credit: Pipat(English For Thais)

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

+++Download mp3 อังกฤษ-ไทย'เริ่มต้นฝึกพูดอังกฤษ 365 วัน'

สวัสดีครับผมไปเจอ mp3 ชุด “เริ่มต้นฝึกพูดอังกฤษ 365 วัน” โดยบังเอิญ จึงนำมาฝากไฟล์ชุดนี้เป็น mp3 มีทั้งหมด 20 unit ๆ ละประมาณ 3 นาทีเป็นประโยคสนทนาภาษาอังกฤษ ซึ่งตามด้วยคำแปลภาษาไทย ใน 20 สถานการณ์ที่มีโอกาสพูดบ่อยผมพยายามอยู่นานเพื่อหาหนังสือ แต่ก็หาไม่พบ จึงมีแต่ไฟล์ mp3 อย่างเดียวให้ฟังเสียง ซึ่งการไม่มีหนังสือนี้มองในอีกแง่หนึ่งก็ดีอยู่เหมือนกัน คือท่านจะได้ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการฟังจนชินหู และฝึกพูดตามจนชินปาก ฟังและพูดตามซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจำได้และชำนาญ เพราะอันที่จริงเวลาที่เราพูด เราก็ไม่มีโอกาสเปิดตำราอ่านประโยคอยู่ดี เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ

-ฟังให้ชินหู

-แปลให้เข้าใจ

-พูดให้ได้เหมือนที่ฟัง

-และจำให้ได้

พูดง่าย ๆ ก็คือ ในการฝึกพูดตาม 20 สถานการณ์ใช้บ่อยข้างล่างนี้ ท่านไม่ต้องอาศัยตาและมือ แต่ให้ใช้หูและปากเท่านั้นในการฝึก โดยคลิก play – pause – repeat [คลิกปุ่ม play เพื่อฟัง – คลิกปุ่ม pause เพื่อหยุด – และ repeat คือพูดตาม]ตอนนี้พร้อมแล้วนะครับสำหรับท่านที่ต้องการดาวน์โหลดก่อนฟังคลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้

ลิงค์ที่ 1 หรือ

ลิงค์ที่ 2[ขนาดประมาณ 26 – 27 MB]

เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ mp 3 ทั้ง 20 ตอนสำหรับท่านที่ต้องการฟัง onlineเมื่อคลิกเข้าไปที่แต่ละ Unit ข้างล่างนี้แล้วก็คลิกที่ปุ่ม Play (>) เหนือคำว่า ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้ [หรือ ถ้าต้องการดาวน์โหลดไฟล์ย่อยทีละไฟล์ก่อนฟัง ก็คลิก ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้ ]

Unit 1 –Greetings การทักทาย

Unit 2 - Introduction การแนะนำตัว

Unit 3 – Say Good-bye การกล่าวคำลา

Unit 4 - Describing People การบอกลักษณะของคน

Unit 5 – Describing Things การบอกลักษณะของสิ่งของ

Unit 6 – Describing Houses การบอกลักษณะของบ้าน

Unit 7 – Describing Abilities การบอกถึงความสามารถ

Unit 8 – Job Interview การสัมภาษณ์งาน

Unit 9 – Inviting Accepting Refusing การเชิญ การรับคำเชิญ และการปฏิเสธ

Unit 10 – Shopping การซื้อของ

Unit 11 - Apologizing การขอโทษ

Unit 12 – Comparing การเปรียบเทียบ

Unit 13 – Asking for Directions การถามทาง

Unit 14 – Asking for and Giving Information การถามและการให้ข้อมูล

Unit 15 – Making Plans การวางแผน

Unit 16 – Requesting Granting Declining การขอร้อง การอนุญาต และการปฏิเสธ

Unit 17 –Giving and Receiving Thanks การกล่าวและการรับคำขอบคุณ

Unit 18 – Giving Advice and Suggestions การแสดงความคิดเห็นและข้อเสนแนะ

Unit 19 – Giving and Receiving Compliments การกล่าวและการรับคำชมเชย

Unit 20 – Talking about Time การคุยเกี่ยวกับเวลา

Credit: Pipat(English For Thais)

+++Download mp3 “เรียนพูดอังกฤษ 79 ชั่วโมงด้วยตนเอง”

ผมเองตอนอยู่ชั้นมัธยมก็เคยพลิกดูหนังสือเล่มนี้อยู่ 2 – 3 ครั้ง แต่ไม่สนใจ อาจจะเป็นเพราะผมขี้เกียจอ่าน และรู้สึกว่าวิธีสอนในหนังสือมันเชย ๆ ยังไงก็ไม่รู้ และหลังจากนั้นก็ไม่เคยสนใจมันอีกเลยตอนอยู่มหาวิทยาลัย วันหนึ่งผมนั่งรถเมล์เจอพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง คุยด้วยแล้วได้ความว่าเพิ่งกลับจากเมืองนอกซึ่งไปขายแรงงาน เห็นแกถือหนังสือประเภทฝึกพูดภาษาอังกฤษเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมงที่มีขายตามร้านหนังสือ (ผมเพิ่งนึกออกวันนี้ว่า คงจะเป็นเล่มนี้แหละ “เรียนพูดอังกฤษ 79 ชั่วโมงด้วยตนเอง”) ผมเข้าใจจากการพูดคุยว่าแกคงเรียนจบไม่สูงและไม่ค่อยรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษ จึงตามแกว่า “แล้วพี่จำได้หมดหรือนี่ เล่มออกโตอย่างนี้?” แกก็ตอบผมตรง ๆ ว่า “ก็ไม่ต้องไปจำให้มันหมดหรอก ประโยคไหนใช้บ่อยก็ท่องเอา” - - ผมรู้สึกขอบคุณพี่สาวคนนี้ทันที เพราะช่วยให้หูตาผมสว่างขึ้นเยอะผมเคยเล่าเรื่องนี้ไว้แล้วที่ ก้าวแรกของการพูดภาษาอังกฤษ
วันนี้บังเอิญมาก ผมเจอ mp3 ของเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ในเน็ต เมื่อคลิกฟังอยู่พักใหญ่ ความรู้สึกต่อหนังสือเล่มนี้ก็เปลี่ยนไป ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่า แต่เดิมผมพลิกอ่าน แต่ตอนนี้ผมคลิกฟัง และผมก็ชอบใจสำเนียงฝรั่งของทั้งหญิงและชายซึ่งชัดเจนมาก มีความเร็วตามธรรมชาติแต่ไม่เร็วเกินไป และแม้เนื้อหาบางประโยคจะสะท้อนถึงโลกยุคก่อนมีอินเทอร์เน็ต แต่ก็ถือว่าสามารถเป็นประโยคสนทนาที่สามารถจดจำและฝึกฝนเอาไปพูดได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ พนักงานสำนักงาน หรือคนไปทำงานเมืองนอกถ้าจะให้วิจารณ์ใหม่ ผมคงต้องขอยืมคำพูดของลุงมาพูด คือ mp3 ของเนื้อหาในหนังสือ “เรียนพูดอังกฤษ 79 ชั่วโมงด้วยตนเอง” เล่มนี้ ใช้ได้และถ้าท่านถามต่อว่า ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ผมก็ต้องขอยืมคำพูดของพี่สาวคนที่ผมเจอในรถเมล์มาดัดแปลงตอบท่านผู้อ่าน คือ ก็ไม่ต้องไปใช้มันหมดทุกประโยค ประโยคไหนมีโอกาสใช้ก็จำไปใช้ ประโยคไหนไม่ได้ใช้ก็ไม่ต้องใช้ข้างล่างนี้เป็นลิงค์ mp3 ชั่วโมงที่ 7 – 79 ให้ท่านดาวน์โหลด (ชั่วโมงที่ 1- 6 ไม่มี mp3 ซึ่งเป็นการออกเสียงพยัญชนะ สระ วิธีการอ่านตัวสะกด และสรรพนาม ) ผมขอชวนให้ท่านลองดาวน์โหลดไปใช้ประโยชน์ โดยฝึก ฟัง พูดตาม (คลิก play, pause, ดึง slide bar ย้อนหลัง เดินหน้า ตามใจชอบ)ลองดูนะครับ mp3 เล่มนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านมาก ๆ ก็ได้ลิงค์ชุดที่ 1พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 07-13
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 14-18
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 19-25
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 26-32
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 33-37
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 38-41
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 42-48
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 49-53
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 54-77
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 78-79
ลิงค์ชุดที่ 2
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 07-13
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 14-18
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 19-25
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 26-32
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 33-37
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 38-41
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 42-48
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 49-53
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 54-77
พูดอังกฤษ 79 ชั่วโมง ลำดับ 78-79
ลิงค์ชุดที่ 3ถ้าท่านใดเน็ตแรง จะดาวน์โหลดลิงค์ใหญ่ข้างล่างนี้ก็ได้ครับ
ชั่วโมงที่7-25
ชั่วโมงที่ 26 – 41
ชั่วโมงที่ 42 – 79

Credit: Pipat(English For Thais)

+++“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันจะใช้แต่ดิกอังกฤษ-อังกฤษ”

ถ้าฝึกไปเรื่อย ๆ ท่านจะค่อย ๆ คล่องขึ้นในการใช้ดิกอังกฤษ-อังกฤษ คือเข้าใจและมั่นใจมากขึ้นผมเชื่อว่า เพราะมีตัวช่วยหลายตัว ค่อย ๆ ลดการใช้ดิกอังกฤษ-ไทยลงทีละน้อย ๆ จนถึงวันหนึ่งก็แทบไม่มีความจำเป็นต้องใช้ดิกอังกฤษ –ไทย พูดอย่างนี้เหมือนกับดูถูกดิกอังกฤษ-ไทย มิได้ครับ มิได้หมายความเช่นนั้นเลย แต่ผมกำลังจะบอกว่า ดิกอังกฤษ-ไทยที่มีวางขายในท้องตลาดทุกวันนี้ ต่อให้พยายามทำออกมาให้มีคุณภาพดีเพียงใด มันก็มีข้อจำกัดหรือข้อด้อยสำหรับผู้ใช้อยู่นั่นเองผมขอยกตัวอย่างข้อจำกัดหรือข้อด้อยที่ว่านี้ ดังนี้ครับสมมุติว่า ท่านไปเจอประโยคนี้She began to doubt everything he said.และสมมุติว่า ท่านไม่รู้ว่า doubt แปลว่าอะไร ท่านก็ไปเปิดดิกอังกฤษ-ไทย ซึ่งหลายเล่มก็ให้คำแปลว่า สงสัย หรือ ความสงสัย พอได้คำแปลอย่างนี้ ท่านก็แปลประโยคนี้ว่า “เธอเริ่มสงสัยทุกสิ่งที่เขาพูด” หลังจากนี้ท่านก็จะจำเลยว่า doubt แปลว่า สงสัย ไปเจอ doubt เมื่อไรก็จะแปลว่า สงสัยเมื่อนั้นคราวนี้ท่านมาเจอประโยคนี้The police suspect him of murderสมมุติท่านไม่รู้อีกว่า suspect แปลว่าอะไร พอไปเปิดดิกอังกฤษ-ไทย ซึ่งหลาย ๆ เล่มก็ให้คำแปลว่า สงสัย ท่านเลยแปลประโยคนี้ว่า “ตำรวจสงสัยเขาในคดีฆาตกรรม”ก็เลยกลายเป็นว่า สงสัยมี 2 คำ คือ doubt และ suspect คำถามก็คือ 2 คำนี้มันเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าต่าง-ต่างอย่างไรเรื่องของเรื่องก็คือว่า ผู้รู้ซึ่งแต่งดิกอังกฤษ-ไทย ทุกท่าน จะพยายามหาคำหรือวลีไทยซึ่งมีอยู่แล้วในภาษาไทยมาเทียบศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่หลายครั้งที่คำศัพท์ใน 2 ภาษานี้มันมีความหมายไม่ตรงกันเด๊ะ เรียกว่า shade of meaning มันไม่ทับกันสนิท ในกรณีอย่างนี้ต้องหาคำที่ใกล้เคียงที่สุดมาเทียบ และในการแปลเทียบเช่นนี้แหละครับที่ความหมายอาจจะเพี้ยนไปบ้าง ยกตัวอย่าง doubt และ suspect ข้างบนนี้ คือDoubt สงสัย ว่าคงไม่จริงSuspect สงสัยว่า คงจะจริงและท่านใดทราบบ้างครับว่า คำในภาษาไทยที่มีความหมายเด๊ะ ๆ ว่า สงสัย ว่าคงไม่จริง หรือ สงสัยว่า คงจะจริง มันคือคำว่าอะไร ผมเข้าใจว่า ไม่มีคำที่มีความหมายเจาะจงเช่นนี้ในภาษาไทย เพราะ shade of meaning ของคำนี้ใน 2 ภาษานี้มันไม่ซ้อนกันสนิทและทั้งหมดนี้มีผลอย่างไรล่ะครับ? ก็ขอตอบว่า1.เมื่อเราอ่านหรือฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องเข้าใจ หลายครั้ง การใช้ดิกอังกฤษ-ไทย เป็นตัวช่วยที่ทำให้เราเข้าใจได้ไม่ครบถ้วน2.เมื่อเราเขียนหรือพูด ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องใช้ให้เป็น ดิกอังกฤษ-ไทย คงไม่สามารถช่วยให้เราเอาศัพท์พวกนี้ไปใช้ได้อย่างถูกต้องและมั่นใจแล้วถ้าเราใช้ดิกอังกฤษ-อังกฤษล่ะ เราจะสามารถทั้งเข้าใจและใช้เป็น จริงหรือ?ผมขอให้ท่านลองเข้าไปดูความหมายของ 2 คำนี้ ในดิกอังกฤษ-อังกฤษ ชื่อดังของโลกข้างล่างนี้Oxford doubt - suspect
Longman doubt- suspect
Merriam-Webster doubt - suspect
COBUILD doubt- suspect
เมื่อค่อย ๆ อ่านดูท่านก็จะเห็นชัดว่า ดิกอังกฤษ-อังกฤษ ฉบับมาตรฐานเหล่านี้ให้ความหมายที่ถูกต้องครบถ้วนตรงกัน แต่ถ้าเราใช้ดิกอังกฤษ-ไทย เราก็ต้องยอมรับสภาพว่า ความหมายที่มีให้ บางคำ อาจจะตก ๆ หล่น ๆ บ้างแต่ดิกอังกฤษ-อังกฤษ มีประโยชน์มากกว่าดิกอังกฤษ-ไทย เพียงเท่านี้หรือ? มิได้ครับ ยังมีอีกเยอะ ผมขอยกตัวอย่างที่นึกออกขณะนี้1.ดิกอังกฤษ-อังกฤษแสดงประโยคตัวอย่างของแต่ละความหมายของคำศัพท์ เพราฉะนั้นดิกพวกนี้จึงมีคำศัพท์เรียกเฉพาะว่า learner’s dictionary ตัวอย่างเหล่านี้นอกจากประกอบคำนิยามศัพท์แล้ว ยังทำให้ผู้ใช้ดิกได้เห็นตัวอย่างการผูกประโยคโดยใช้คำศัพท์นี้ เช่น ลักษณะประโยค, preposition ที่ใช้ร่วมกัน, คำอื่น ๆ ที่มักจะอยู่ด้วยกันกับศัพท์คำนี้ (เรียกว่า collocation), ประธานหรือกรรมส่วนใหญ่ที่ศัพท์คำนี้มักเข้าไปประกอบอยู่ด้วย ฯลฯ ตัวอย่างเหล่านี้จะช่วยให้เรา “ใช้เป็น” เมื่อเราต้องเอาศัพท์ไปพูดหรือเขียน2.ทุกวันนี้โลกหมุนเร็วมาก และศัพท์ใหม่หรือความหมายใหม่ ๆ ของศัพท์เก่าก็เกิดขึ้นเร็วมากเช่นกันตามการหมุนของโลก ดิกชันนารีอังกฤษ-อังกฤษเหล่านี้สามารถ update หรือ revise ตัวเองได้เร็วมาก ซึ่งแปลว่า เมื่อชาวบ้านชาวเมืองเขาใช้ศัพท์ใหม่หรือความหมายใหม่ ดิกพวกนี้ก็เอามาไว้ในเล่มดิกหรือเว็บดิกชองตน แต่ดิกอังกฤษ-ไทยทำอย่างนี้ได้ไม่ทัน เพราะกว่าจะแปล-ตรวจ-พิมพ์ ศัพท์ใหม่ที่ใส่เข้าไปก็กลายเป็นศัพท์เก่าซะแล้ว ในแง่นี้เราจึงจำเป็นต้องใช้ดิกอังกฤษ-อังกฤษ เพราะดิกอังกฤษ-ไทย ไม่มีศัพท์เพียงพอให้เราใช้ ไม่เพียงพอจริง ๆ ครับ3.การฝึกใช้ดิกอังกฤษ-อังกฤษ เป็นวิธีง่าย ๆ และได้ผลในการฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ เพราะทั้งคำอธิบายความหมาย ประโยคตัวอย่าง ไม่เปิดโอกาสให้เราต้องสะดุดเปลี่ยน mode มาคิดเป็นภาษาไทย และถ้าได้ฝึกอ่านออกเสียงตามไปด้วย หรือลอกบางประโยคใส่ลงสมุดจดศัพท์ ก็จะได้ฝึกหลาย ๆ ทักษะพร้อมๆกันไป คลื่นความคิดก็จะมีแต่คลื่นภาษาอังกฤษ และการคิดเป็นภาษาอังกฤษนี่แหละครับ คือการก้าวขึ้นสูงสู่อีกระดับหนึ่ง แม้ในระยะแรก ๆ อาจจะเป็นก้าวเล็ก ๆ ก็ตามพออ่านมาถึงบรรทัดนี้ ท่านอาจจะถามว่า แล้วจะทำยังไงให้สามารถใช้ดิกอังกฤษ-อังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องพึ่งดิกอังกฤษ-ไทยเลย หรือพึ่งให้น้อยที่สุด ผมมีข้อแนะนำอย่างนี้ครับ ท่านจะทำข้อไหนก่อนก็ได้ ไม่ต้องทำไปตามลำดับ1.ศึกษาศัพท์จาก wordlistที่เว็บ dictionary ของ Longman, Merriam-Webster, Oxford และ เว็บ VOA Special English เขาได้จัดทำ Wordlist หรือบัญชีคำศัพท์ที่ใช้บ่อย ไม่เกิน 3000 คำ ซึ่งหมายความว่า ถ้าเข้าใจความหมายของทุกคำใน list เหล่านี้ก็จะสามารถอ่านดิกของเขาได้ทั้งเล่ม หรืออ่านเว็บได้ทั้งเว็บ ศัพท์ใน list เหล่านี้แม้จะต่างคนต่างทำ แต่ก็มักจะซ้ำกันเป็นส่วนใหญ่ และถ้าสามารถจดจำได้มากเท่าใดก็จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะมันเป็นศัพท์พื้นฐานที่ควรเข้าใจและใช้เป็นผมได้รวมรวบไว้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ เมื่อเข้าไปแล้ว ดับเบิ้ลคลิกที่คำใดก็จะมีคำแปลไทยปรากฏ อันดับแรกผมขอให้ท่านมองข้ามคำแปลไทยนี้ลงไปข้างล่างจนพบคำว่า Show more Web definitions » เมื่อคลิกแล้วจะมีความหมายจากดิกอังกฤษ-อังกฤษ ขอให้ศึกษาศัพท์พื้นฐานจาก wordlist พวกนี้แหละครับ2,000 คำ: Longman Defining Vocabulary คลิก
3,000 คำ: Merriam-Webster's Learner's Dictionary คลิก
3,000 คำ: Oxford 3000 wordlist คลิก
1,500 คำ: VOA Special English คลิก 1 หรือ คลิก 2
2.ฝึกกับดิก Cambridge, Oxford, Longmanดิกทั้ง 3 เว็บนี้ เมื่อท่านอ่านคำอธิบายและไม่รู้ความหมายของศัพท์คำใด ท่านสามารถคลิกเพื่อให้เว็บโชว์ความหมายของศัทพ์คำนั้นไปได้เรื่อย ๆคลิกดูดิกทั้ง 3 เว็บที่ลิงค์นี้ครับ http://dictionarysearchbox.blogspot.com/สำหรับ Cambridge และ Oxford สามารถคลิกฟังการออกเสียงคำศัพท์ (และฝึกออกเสียงตาม) มีทั้งสำเนียงอังกฤษและอเมริกัน ส่วน Longman เฉพาะคำที่ขึ้นต้นด้วย d และ s สามารถคลิกฟังประโยคตัวอย่างได้ทั้งประโยค แต่บางที browser IE อาจจะใช้ไม่ได้ ต้องเปิดด้วย browser Google Chrome 3.ศึกษาเว็บที่มี pop-up dictionaryเว็บศึกษาภาษาอังกฤษต่อไปนี้ ท่านสามารถใช้ Search หาอะไรก็ได้ที่ท่านต้องการอ่าน เมื่อดับเบิ้ลคลิกที่คำศัพท์ของบทความ จะมีความหมายเป็นภาษาอังกฤษโชว์ทันที ขอแนะนำให้ท่าน Search หาเรื่องที่ท่านรักที่จะอ่าน เมื่อส่งสัยศัพท์ก็คลิกดูความหมายอย่างที่ว่านี้แหละครับVOA Special English (Merriam-Webster Learner’s Dictionary)http://www.voanews.com/learningenglish/home/Answers.comhttp://www.answers.com/http://www.englishforum.com/00/ถ้าเป็นลิงค์ภายในของเว็บนี้ (ขึ้นต้นด้วย URL ของเว็บ ) สามารถดับเบิ้ลคลิกคำศัพท์ทุกคำให้โชว์คำแปลจาก Cambridge Dictionary)
4.ใช้บริการจากเว็บแปลศัพท์ อังกฤษ-อังกฤษเท่าที่ผมเคยพบขณะนี้มีอยู่ 3 เว็บคุณภาพดีที่เมื่อเราพิมพ์ข้อความ หรือ copy+paste URL ของเว็บใส่ลงไป เมื่อคลิกหรือดับเบิ้ลคลิกที่คำศัพท์ก็จะโชว์คำแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น เราต้องการอ่านข้อความใด หรือหน้าเว็บใด ก็สามารถอ่านได้โดยสะดวกเหมือนมีฝรั่งมายืนอยู่ใกล้ ๆ คอยบอกศัพท์ให้ทุกคำในทันทีที่ถาม4.1 -พิมพ์ URL ลงไปที่เว็บนี้:
http://www.lingro.com/(ถ้าต้องการเปิดลิงค์, ให้คลิกขวาที่ลิงค์, และคลิก open in new tab หรือ open in new window)4.2 -พิมพ์ข้อความภาษาอังกฤษลงไปที่เว็บนี้: http://www.voycabulary.com/4.3 -ใช้บริการแปลของเว็บ esldesk.com http://www.esldesk.com/reading/esl-reader*** วิธีใช้งาน esldesk.com ***1.copy และ paste ข้อความภาษาอังกฤษใส่ลงไป, คลิก Click here,2.ตรง Definitions ให้เลือกดิกที่ต้องการ ซึ่งผมขอแนะนำให้ใช้Cambridge3.คลิกคำที่ต้องการแต่ถ้าต้องการตัวช่วยเป็นดิก อังกฤษ – ไทย, ตรงช่อง Translations ให้เลือก Thai,ท่านผู้อ่านครับ ในส่วนที่เกี่ยวกับวิธีฝึกผมคงมีเรื่องที่จะพูดแค่นี้ ต่อจากนี้ก็อยู่ที่แต่ละท่านจะไปฝึกกันเอาเอง แต่ก่อนจากผมขอพูดอะไรแถมท้ายสักนิดนะครับ
คนรุ่นผมนี่นะครับ สำหรับคนที่เป็นพนักงานบริษัทหรือรับราชการ ถ้ายืนกรานที่จะไม่ฝึกภาษาอังกฤษ ก็อาจจะไม่มีใครเขี่ยวเข็ญมากนัก เพราะทำงานมาเกือบ 30 ปีแล้ว ทักษะที่จำเป็นต้องใช้ในงานก็เริ่มอยู่ตัวแล้ว ตอนนี้มีความชำนาญด้านใดก็ใช้อันนั้นแหละทำงานไปจนเกษียณอายุซึ่งก็คงเหลืออยู่อีกไม่กี่ปี ถ้าอ่อนแอด้านภาษาอังกฤษหัวหน้าเขาก็อาจจะขี้เกียจตอแย หรือสำหรับท่านที่มีธุรกิจของตัวเองถ้าไม่สามารถทำให้ภาษาอังกฤษของตัวเองใช้งานได้ ก็ต้องหาคนเก่งมาใช้ สรุปก็คือผมไม่ค่อยห่วงคนรุ่นผมแต่ผมห่วงคนรุ่นใหม่....ไม่ว่าน้อง ๆ กำลังจะหางาน, กำลังจะได้งาน, หรือเพิ่งจะทำงานไม่นานนัก หรือแม้แต่น้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง กำลังก่อร่างสร้างตัว ถ้าน้องต้องการได้รับความสำเร็จ ความก้าวหน้า ความคล่องตัว ชีวิตการทำงานของน้องในอนาคตต้องมีภาษาอังกฤษเป็นทักษะหลักอยู่ด้วย คนรุ่นก่อนอาจจะแก้ปัญหานี้โดยการเลือกเรียนวิชาหรือทำอาชีพที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ แต่คนรุ่นใหม่ไม่โชคดีมีทางเลือกอย่างนั้นหรอกครับเท่าที่ผมรู้สึกอยู่ก็คือ ทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยแม้แต่ของคนรุ่นใหม่อ่อนเกินไป นี่เรากำลังพูดถึงคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่คนไม่กี่คนที่มีโอกาสออกทีวีและโชว์ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ เราจะเอาคนจำนวนน้อยนิดเหล่านั้นมาเป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ไม่ได้แต่ถ้ามองว่าเราควรจะฝึกภาษาอังกฤษอย่างไรเพื่อให้อนาคตของตัวเอง และอนาคตของเมืองไทยดีขึ้น ก่อนที่จะทำอะไร เรามาดูว่าเราคิดอย่างไรก่อนดีกว่า เพราะจากประสบการณ์ที่ทำบล็อกนี้มา 4 ปีทำให้ผมรู้สึกว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยอ่อนแอ ไม่สามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นเท่าที่ควร เพราะเรามีทัศนคติอย่างคนที่ยอมแพ้และชอบแก้ตัว-เราโทษครู โทษโรงเรียน โทษระบบการศึกษา โทษสิ่งแวดล้อมในสังคมว่าทำให้เราแย่ในเรื่องภาษาอังกฤษ พอโทษแล้วก็ไม่คิดทำอะไรให้มากเท่าที่ควร เพราะโยนความผิดไปให้เขาแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เราแย่เรื่องภาษาอังกฤษนี้จึงไม่ใช่ความผิดของเรา ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นดีเลิศประเสริฐศรี มิได้ครับ! แต่ผมกำลังบอกว่า การตำหนิสิ่งอื่นเพื่อแก้ให้ตัวเองพ้นผิด ไม่มีประโยชน์อะไรเลย-เรื่องทักษะภาษาอังกฤษที่อ่อนแอนี้ บางท่านยอมรับและยอมแพ้ แต่ผมอยากให้ท่านยอมรับแต่ไม่ยอมแพ้ มีความหวังอยู่เสมอ และพยายามที่จะทำให้ความหวังเป็นความจริง-สำหรับท่านที่มีลูกมีหลาน ผมเห็นว่าสิ่งที่จะช่วยอย่างมากให้เด็กเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษก็คือเราเองต้องเป็นตัวอย่าง เราจะพูดว่า ตัวเราซึ่งเป็น “พ่อแม่มารู้ตัวว่าภาษาอังกฤษสำคัญก็เมื่อสายไปซะแล้ว จึงอยากให้ลูกสนใจภาษาอังกฤษไปตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกมากในอนาคต” พูดแค่นี้ไม่พอหรอกครับ มันลอยตัวเกินไป เราต้องทำอะไรให้ลูกเห็นว่าเราเองก็ฝึกภาษาอังกฤษเพราะภาษาอังกฤษมีประโยชน์ การที่เราฝึกได้ผลน้อยแต่พยายามมาก กลับจะเป็นตัวอย่างที่ดีซะอีก เพราะเด็กจะได้เห็นว่า ถ้าไม่อยากยักแย่ยักยันเรียนภาษาอังกฤษอย่างคนแก่ ก็ต้องเรียนให้ได้ผลดีตั้งแต่อายุน้อย
ทักษะที่สะสมไว้ทุกวันจะเป็นเหมือนกะตังค์ที่หยอดลงกระปุก ถ้าหยอดทุกวันก็ต้องมีวันที่ตังค์เต็มกระปุก ถ้าเรียนทุกวันก็ต้องมีวันที่ทักษะจะงอกงามจนใช้งานได้ แม้อาจจะไม่หรูหราสง่างามนัก แต่ก็ใช้งานได้ นี่ก็ดีถมไปแล้วท่านผู้อ่านครับ บนเส้นทางการฝึกทักษะภาษาอังกฤษนี้ ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องของการลงทุน ผมก็ขอยืนยันว่า การพยายามฝึกจนสามารถใช้ดิกชันนารีอังกฤษ-อังกฤษ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นเพื่อให้การลงทุนเช่นนี้ได้กำไรอย่างที่ตั้งใจไว้ เราควรจะบอกตัวเองว่า“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะใช้แต่ดิก อังกฤษ-อังกฤษ”

Credit: K.pipat(English for Thais)

+++วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษ (...อย่าคิดว่ายาก...)

เท่าที่สังเกตดู เมื่อมีคำถามว่าทำยังไงจึงจะพูดได้เก่งหรือพูดได้คล่อง หลายคนก็จะเพ่งเล็งไปที่การ “พูด”โดยเฉพาะ ซึ่งทำยังกับว่าการพูดเป็นทักษะเอกเทศที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอีก 3 ทักษะ คือ การฟัง – การอ่าน – และการเขียน ถ้าคิดอย่างนี้คงฝึกการพูดได้สำเร็จน้อยถ้าการพูดคือกล้องที่เขาใช้ถ่ายตอนรับปริญญา การฟัง – การอ่าน – และการเขียน ก็คือ 3 ขาที่ใช้ตั้งกล้อง ขาดไม่ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราคนไทยที่อยู่เมืองไทยไม่มีฝรั่งให้คุยด้วยทุกวัน เพราะฉะนั้น แม้เราจะเน้นเรื่องการพูด แต่อีก 3 ทักษะเราก็ทิ้งไม่ได้ เพราะอะไร...? ก็เพราะว่า...ถ้าเราไม่ฝึกฟัง...-พอฝรั่งพูด เราจะฟังไม่รู้เรื่อง-เราจะออกเสียงผิดได้ง่ายที่สุด ไม่รู้การ stress พยางค์ที่ต้องลงเสียงหนัก, ไม่รู้การออกเสียงท้ายคำ, ไม่รู้จักการเน้นเสียงหนักตรงข้อความที่สำคัญ ฯลฯ ซึ่งความผิดพลาดในการออกเสียงเช่นนี้อาจจะทำให้คู่สนทนาของเราฟังเราพูดไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นต้องฝึกฟังครับ เพราะเสียงที่เราฟังจะเป็นตัวอย่างให้เราฝึกพูดตาม และพูดได้... พูดเป็น... พูดเก่ง... ขึ้นเรื่อย ๆคราวนี้มาถึงการอ่านบ้าง ทำไมเมื่อต้องการพูดเป็น จะต้องฝึกอ่านด้วย คำตอบก็คือ...-การอ่านทำให้เราเห็นตัวอย่างการนำคำศัพท์มาผูกเรียงกันเป็นวลีและประโยค เราจะทำอย่างนี้ได้ก็โดยได้เห็นตัวอย่างเยอะ ๆ จนคุ้นเคย และเมื่อเวลาที่เราจะพูด เราก็จะพูดไปตามลีลาภาษาที่เราคุ้นเคยจากการอ่านนี้ บางท่านอาจจะถามว่าทำให้ตัวเองคุ้นเคยจากการฟังเยอะ ๆ ไม่พอหรือ? คำตอบของผมคือ ให้คุ้นเคยกับลีลาของวลีและประโยคภาษาอังกฤษทั้งจากการฟังและการอ่านเถอะครับ ฟังอย่างเดียวอาจจะไม่พอ หรือได้ผลช้าเกินไปเรื่องสุดท้าย ทำไมเมื่อต้องการพูดเป็น จะต้องฝึกเขียนด้วย คำตอบสั้น ๆ ของผมก็คือ...-การเขียนคือการซ้อมพูดด้วยมือ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดด้วยปาก งานก็จะเบาลงเยอะคราวนี้มาถึงคำถามที่สำคัญที่สุด คือ สำหรับพวกเราที่ยังไม่คล่อง ไม่เก่ง และต้องฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ เราจะฝึกพูดอะไร? ฝึกฟังอะไร? อ่านอะไร? เขียนอะไร?คำตอบของผมก็คือ ให้ฝึกกับสิ่งที่เรารู้สึกว่าง่าย และเราชอบ ถ้าไปฝึกกับเรื่องที่ยาก หรือเราเกลียด สมองมันจะปิดครับ start ด้วยเรื่องง่าย ๆ นี่แหละครับดีที่สุดอย่างไรก็ตาม ผมบอกไม่ได้จริง ๆ ครับ ว่าเรื่องใดหรือเว็บใดที่ง่ายและน่าเรียน แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ ท่านต้องไปหาเอาเอง และในรวมลิงค์ข้างล่างนี้ผมได้รวบรวมเว็บที่ผมคิดว่าง่ายต่อการฝึกพูด และฝึกฟัง-อ่าน-เขียนเชิญศึกษาเว็บข้างล่างนี้ได้เลยครับ และผมขออวยพรให้ทุกท่านประสบความสำเร็จจากการฝึกดังที่ตั้งใจไว้เทคนิคการฝึกพูด
++++วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน
ฝึกฟังและอ่าน++++ ด/ล 'audio & picture book' หลายร้อยเล่ม [ชุดที่ 1]
++++ด/ล 'audio book' หลายร้อยเล่ม [ชุดที่ 2]
++++ ด/ล 'audio book' หลายร้อยเล่ม [ชุดที่ 3]
++++ด/ล 'audio book' หลายร้อยเล่ม [ชุดที่ 4]
++++รวมเรื่อง 'สนุกและง่าย'ที่แนะนำไว้ในบล็อกนี้
++++ เว็บ ‘อ่านข่าว-ฟังข่าว’ ง่าย ๆ
++++ เว็บเรียนภาษาอังกฤษง่าย ๆ มีบ้างไหม?
ฝึกเขียน++++ ท่านสามารถฝึก writing skill ได้ทุกวัน

Credit: K.Pipat(Eng for Thais)

---ฝึกสิ่งที่ต้อง“เข้าใจ–จำได้–ใช้เป็น” ก่อน

สวัสดีครับหนังสือที่ผมขอพูดถึงวันนี้ ชื่อ "speak English like an American”มี 25 บทและมีไฟล์เสียงครบทุกบท หนังสือเล่มนี้เขานำกว่า 300 สำนวนและวลีมาผูกเป็นบทสนทนาง่าย ๆ ระหว่างพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว และคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 4 – 5 คน และยังมีการอธิบายศัพท์ แบบฝึกหัด และเฉลยในคำนำของหนังสือเล่มนี้ เขาอธิบายโดยสรุปว่า สำนวนและวลีที่มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่สำนวนใน textbook แต่เป็นสิ่งที่ท่านจะพบได้ในชีวิตประจำวันตามหน้าหนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และโทรทัศน์ หนังสือนี้จะช่วยให้ผู้อ่าน understand and use idioms better.ผมเองลองฟังไฟล์เสียงครบทั้ง 25 ตอนแล้ว ตอนหนึ่งยาวแค่ 1 ถึง 1 นาทีครึ่ง ฟังแล้วก็เห็นว่าเป็นสำนวนที่ไม่ยาก สามารถช่วยให้ understand and use idioms better อย่างที่เขาว่าจริง ๆ และน่าช่วยให้สามารถ "speak English like an American” ด้วยตามชื่อหนังสือแต่เมื่อมาคิดดูอีกที หนังสือและ mp3 ชุดนี้อาจจะแทบไม่มีประโยชน์ต่อเราเลยก็ได้ หากเราไม่ได้มีชีวิตที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอเมริกัน จึงไม่จำเป็นที่จะต้อง "speak English like an American” หรืออย่างผมนี่ ถึงเวลาที่ต้องพูดภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติก็ไม่มีใครเอาสำนวนอเมริกันมาพูด ผมเองถ้ารู้สำนวนอเมริกันสักคำหนึ่งก็ไม่กล้าใส่เข้าไปในบทสนทนาเมื่อเวลาที่ต้องพูดจากับคนเอเชีย เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อเราพูดจาติดต่อการงาน กฎที่ต้องท่องจำขึ้นใจก็คือ ใช้สำนวนภาษาที่สุภาพ เข้าใจง่าย ที่ใคร ๆ ได้ฟังแล้วเข้าใจทันที เมื่อไม่มีใครเอาสำนวนอเมริกันมาพูด เราก็ไม่มีความจำเป็นต้อง understand and use idioms better เพื่อให้ตัวเอง "speak English like an American”มันทำให้ผมมาถึงบทสรุปว่า สำหรับพวกเราชาวไทย เมื่อเราเรียนภาษาอังกฤษ ขอให้เราวางแผนให้ดีว่า เราควรจะเรียนอะไร ถ้าท่านบอกว่าท่านต้องใช้ทุกทักษะคือสนทนา (พูด+ฟัง), อ่าน และเขียน อันดับแรกท่านก็ควรทำให้ตัวเองคุ้นเคยกับคำศัพท์ สำนวน ภาษา ที่ท่านจำเป็นต้องเข้าใจและใช้เป็น (understand and use) ส่วนศัพท์สำนวนที่นอกขอบเขตการใช้งานนี้ ค่อยเอาไว้ศึกษาทีหลังก็ได้ ซึ่งในจำนวนนี้อาจจะรวม American idioms อยู่ด้วยก็ได้พูดอย่างนี้ท่านอาจจะถามว่า เมื่อ idiom ไม่จำเป็นแล้ววันนี้เอาหนังสือและ mp3ชุดนี้มาแนะนำทำไม? จึงขอเรียนตอบว่า1.การเรียนภาษาอังกฤษนั้น มีเนื้อหาอยู่หลายระดับ อันดับแรกที่สุด คือ ต้อง เข้าใจ – จำได้ – ใช้เป็น ท่านต้องหาใช้ได้ว่า สำหรับตัวท่าน มีเนื้อหาประเภทใดและมากน้อยแค่ไหน ที่ท่านต้อง เข้าใจ – จำได้ – ใช้เป็น? ถ้าท่านตอบคำถามข้อนี้ได้ไม่ชัด ก็จะทำให้การศึกษาภาษาอังกฤษของท่านไร้ทิศทางเพราะฉะนั้นท่านต้องตอบให้ได้ว่า ท่านจะต้องใช้ภาษาอังกฤษเพื่อ(1)การทำงาน(2)การหาความรู้ หรือ(3)การหาความเพลิดเพลินถ้า (1) และ (2) สำคัญกว่า ก็ไม่ควรทุ่มเทการศึกษาภาษาอังกฤษมากเกินไปเพื่อ (3) สำนวน slang ที่รู้ไว้เพื่อให้ดูหนังรู้เรื่อง อาจจะไม่สำคัญเท่าสำนวนภาษาที่ใช้ในการทำงานหรือหาความรู้ เรื่องนี้ท่านต้องตอบตัวเองครับว่า อะไรที่เหมาะสมกับท่าน2.แต่เรื่องที่มีความจำเป็นลำดับรองก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างเช่นชุด "speak English like an American” ในวันนี้ มันก็คงจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะการรู้ไว้ก็ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ถ้าถึงเวลาและโอกาสที่เหมาะสม และได้ใช้พูด ก็เป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่สำคัญลำดับรองเช่นนี้ ถ้าเราไม่ค่อยเข้าใจ – จำไม่ค่อยได้ – และใช้ไม่ค่อยเป็น ก็ไม่ต้องไป serious กับมันมากนักหรอกครับ เพราะภาษาอังกฤษที่สำคัญกว่า คือภาษาอังกฤษที่เราต้องเข้าใจ – จำได้ – ใช้เป็นคุยมาจนถึงบรรทัดนี้ ถ้าท่านใดต้องการดาวน์โหลดไฟล์หนังสือและ mp3 ชุดนี้ก็ดาวน์โหลดได้เลยครับSpeak English Like An American คลิกดาวน์โหลดแต่ถ้าท่านไม่สนใจจะดาวน์โหลด ผมก็ไม่ว่าอะไร ไม่ว่าจริง ๆ ครับ


Credit: K.Pipat(Eng for Thais)

---เรียนอังกฤษกับครูต๋อม

สวัสดีครับวันนี้ผมมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะแนะนำเว็บ เรียนอังกฤษกับครูต๋อม (อาจารย์ ดวงจันทร์ บานทรงกิจ ) หรือ English Learning Onlineที่นี่ครับ http://www.krutomtam.com/ครูต๋อมสอนอยู่ที่ โรงเรียนเมืองปานวิทยา อ.เมืองปาน จ.ลำปาง ครับในฐานะที่หาเว็บเรียนภาษาอังกฤษมาบริการท่านผู้อ่านมานานพอสมควร ผมพูดได้เลยว่า เว็บ “เรียนอังกฤษกับครูต๋อม” ดีทีเดียวครับเนื้อหาหลากหลาย ตามข้างล่างนี้...หมวดเพลงหมวดภาพยนต์O-NET & A-NET - แบบฝึกหัดทำข้อสอบออนไลน์ O-NET, A-NETNEWS – ข่าวภาคภาษาอังกฤษSONGS - เรียนภาษาอังกฤษกับเพลงสำนวน - สุภาษิต – คำสแลงCONVERSATION – บทสนทนาภาษาอังกฤษInformations Technology(IT)COMPUTERINTERNETENGLISH VOCABULARY - คำศัพท์แยกตามหมวดCROSSWORD PUZZLE – เกมอักษรไขว้ENGLISH GAMES – เรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านเกมส์RADIO ONLINE – วิทยุออนไลน์TV ONLINE – ทีวีออนไลน์ผมขอเชิญชวนให้ท่านคลิกเข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง น่าจะดีกว่าผมแนะนำขอขอบคุณครูต๋อมมากครับคุณ purity แนะนำพิ่มเติม:http://my.mthai.com/krutom1แนะนำสำหรับท่านที่ต้องการดาวน์โหลดไฟล์วีดิโอจากเว็บครูต๋อม4 วิธีในการดาวน์โหลดวีดิโอจากเว็บ

Credit: K.Pipat(Eng for Thais)